วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คำคมบาดลึก แห่งบุรุษระบือโลก

มหาตมะ คานธี
รพินทรนาถ ฐาร มหากวี ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอินเดีย และผู้เป็นเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ที่มีชื่อเสียงก้องโลก เป็นผู้ขนานนามให้กับชายร่างเล็ก แต่งตัวปอนๆ ใช้ชีวิตเรียบง่ายแต่มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่อย่าง โมหันทาส การามจันทร์ คานธี ว่า"มหาตมะ คานธี"
มหาตมะ แปลว่า "ผู้มีจิตวิญญาณอันสูงส่ง" หรือ "ผู้มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวถึงมหาตมะ คานธีว่า
"คงเป็นการยากที่อนุชนคนรุ่นหลังจะเชื่อว่า มนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสาอย่างคานธี เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงๆ"
โมหันทาส การามจันทร์ คานธี มีความสำคัญอย่างไร จึงได้รับการขนานนามให้เป็น "มหาตมะ" ที่คนทั้งประเทศอินเดียและทั่วโลกต่างซ้องสาธุการ
- คานธี คือ ผู้นำชาวอินเดียในแอฟริกาใต้ ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลผิวขาวด้วยสันติวิธี จนรัฐบาลต้องยอมคืน "สิทธิแห่งความเป็นคน" ให้แก่ชาวผิวดำและผิวขาวอย่างเท่าเทียมกัน
- คานธี คือ ผู้นำชาวอินเดียในบ้านเกิดของตัวเอง ลุกขึ้นมาเรียกร้องอิสรภาพให้กับแผ่นดินถิ่นเกิดด้วยสันติวิธี จนในที่สุดประเทศเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักร ต้องยอมคืนอิสรภาพให้กับประชาชนชาวอินเดียทั้งชาติ
- คานธี คือ ผู้มีส่วนอย่างนัยสำคัญในการก่อร่างสร้างประเทศอินเดียให้เป็นปึกแผ่น จนกลายเป็นประเทศเอกราชที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
- คานธี คือ ผู้ที่นำเอาศาสนากับการเมืองมาบรรจบเข้าด้วยกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราต่างเชื่อกันว่า ศาสนากับการเมือง จะต้องแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่คานธี ไม่เชื่ออย่างนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า
"ผู้ที่กล่าวว่าศาสนาไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองนั้น เป็นผู้ที่ไม่ทราบความหมายของศาสนา สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การเมืองที่ปราศจากหลักธรรมทางศาสนา เป็นเรื่องโสมมที่ควรสละละทิ้งเสีย การเมืองเป็นเรื่องของประเทศชาติ และเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพของประเทศชาติต้องเป็นเรื่องของผู้ที่มี ศีลธรรมประจำใจ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องนำเอาศาสนจักรไปสถาปนาไว้ในวงการเมืองด้วย"
เหนืออื่นใด คานธี เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ทำภารกิจอันสูงส่งต่อมนุษยชาติ ทว่ากลับทำตัวต่ำต้อยอย่างยิ่ง ภาพชินตาที่ทุกคนนึกถึงเมื่อเอ่ยถึงท่านคือ ชายตัวเล็กๆ ที่นุ่งเจียม ห่มเจียม สมถะ สันโดษ มีศีลมีสัตย์ หนักแน่นในสัจจะ ลอยอยู่เหนือกองผลประโยชน์ทั้งปวง แม้ทั่วโลกยกย่อง ท่านกลับถ่อมตัวต่ำติดดิน ดังที่ท่านเขียนถึงตัวเองว่า
"ข้าพเจ้าเป็นนักบวชที่ยากจน ทรัพย์สินที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในโลกนี้ มีกงล้อปั่นด้าย 6 เครื่อง จานรับประทานอาหารตั้งแต่อยู่ในคุก 1 ใบ กระป๋องใส่นมแพะ 1 ใบ ผ้านุ่งโธตี และผ้าเช็ดตัวทอด้วยมือ 6 ชิ้น นอกนั้นก็มีแต่ชื่อเสียง ซึ่งก็ไม่มีราคาค่างวดหรือความหมายอะไร"
"จงใช้ชีวิตราวกับว่า คุณจะตายในวันพรุ่งนี้
จงเรียนรู้ราวกับว่า คุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล"
"ความโกรธและการถือทิฐิ เป็นศัตรูคู่แฝดของความเข้าใจที่ถ่องแท้"
"ความเกียจคร้านเป็นสถานะที่น่ายินดี แต่ไร้ซึ่งความสุข พวกเราต้องทำบางสิ่งเพื่อที่จะได้มีความสุข"
"ความเข้มแข็งไม่ได้มาจากสมรรถภาพทางร่างกาย แต่มาจากความมุ่งมั่นอย่างไม่ย่อท้อ"
"ฉันไม่สามารถสอนความรุนแรงให้กับเธอได้ เพราะตัวฉันเองไม่เชื่อถือมัน ฉันสอนเธอได้แต่เพียงไม่ให้ก้มหัวให้กับใคร แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม"
"เป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะมั่นใจเป็นอย่างมากเกินกับภูมิปัญญาของตน เป็นการดีกว่าที่จะรำลึกไว้ว่า ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดก็อาจอ่อนแอได้ และผู้ฉลาดที่สุดก็อาจทำผิดได้"

ความคาดหวัง

     หลังจากที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นมาอย่างคึกคะนอง เผชิญกับสิ่งดี - เลวของชีวิตและสังคมมาอย่างบอบช้ำ ผมได้มีโอกาสบวชทดแทนบุญคุณบุพการี ได้แง่คิด มุมมองดี ๆ ในการดำเนินชีวิตจากคำสอนของพระอาจารย์ ท่านสอนวิธีการดำเนินชีวิต การรู้จักตอบแทนคุณ การให้ทาน ที่สำคัญที่สุดคือการให้อภัย การปล่อยวางจากกิเลส วันเวลาผ่านไปผมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีหลายอย่าง
     ปัจจุบันผมมีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีครอบครัวที่อบอุ่น ผมตั้งใจเอาไว้ว่า ผมจะเลีี้ยงดู อบรมดูแลลูก ๆ ของผมให้เป็นคนดีของสังคม ผมจะเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ดีและเลวของผมให้วกเขาฟัง ไม่อยากให้พวกเขาเป็นอย่างผมในอดีต ความหวังอันสูงสุดของผมคือการได้เห็นพวกเขาประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยความสามารถของตัวเขาเอง เฝ้ามองดูความเจริญก้าวหน้าของพวกเขา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สุดท้ายส่วนตัวผมปรารถนาจะหลุดพ้นจากวังสนแห่งกิเลส อยากบรรลุนิพพาน ก้าวพ้นจากห้วงแห่งกรรมทั้งปวง

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประวัติการทำงาน

     เมื่อจบ ม.ปลายแล้ว เพื่อนชวนไปทำงานเป็นช่างซ่อมบำรุงในโรงงานแห่งหนึ่งย่านพระประแดง สมุทรปราการทำงานได้ 3 ปี ก็ลาออกไปทำงานอื่นอีก 2-3 แห่งย้ายงานไปเรื่อย เพราะมีเรื่องบ่อย เคยทำงานอยู่บริษัท กีโต้แถวๆ บางบอน กรุงเทพฯ ทำงานอยู่ประมาณ 2 ปี ก็ลาออกไปทำงานโรงงานเฟอร์นิเจอร์อีก 2 แห่ง จากนั้นได้งานใหม่เป็นโรงงานผลิตพลาสติก ,โฟม เป็นบริษัทลูกของกีโต้นั่นแหละ จนถึงปี 2544 ได้ทำงานเป็น QC. ที่บริษัท อินเด็กซ์อินเตอร์เฟิร์น จก.เป็นโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ อยู่ที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร จนถึงปัจจุบัน

ประวัติการศึกษา

     เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียน บ้านฝ้าย จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อจบ ป.6 แล้ว ลุงของผมได้รับอุปการะส่งเสียให้ผมเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียน ธัญบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอในจังหวัดปทุมธานี เมื่อเรียนจบ ม.ต้นแล้วเมื่อ พ.ศ. 2535 กลับมาเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนห้วยราชพิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ จนจบชั้น ม.ปลายเมื่อพ.ศ. 2538



ข้อมูลส่วนตัว


ผมชื่อ นายพงษ์พันธ์ กะชันรัมย์ ชื่อเล่น ปู เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2519 มีพี่น้องรวมตัวผม 3คน ผมเป็นพี่คนโต มีน้องชายและน้องสาว เราสามคนพี่น้องรักกันมาก พ่อกับแม่สอนพวกเราเสมอว่า "ความเป็นพี่น้องมันฝังอยู่ในสายเลือด ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ความสัมพันธ์จืดจางหรือขาดจากกันได้" ผมเกิดที่โคราช จนอายุประมาณ 5 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่บุรีรัมย์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพ่อ
นิสัยส่วนตัวเป็นคนร่าเริง สนุกสานเฮฮา ชอบดนตรี รักเสียงเพลง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักเพื่อนฝูง ผมจึงมีเพื่อนมากมายหลากหลายอาชีพ